หลาย ๆ คนต้องเผชิญกับปัญหาการขับถ่าย จะเข้าห้องน้ำแต่ละทีก็แสนลำบากใช้เวลานาน เรียกว่าต้องฝืนเบ่งกันจนหน้ามืด ยิ่งทิ้งไว้หลายวันก็ยิ่งอึดอัด ไม่สบายตัว เจอปัญหาอยากถ่ายแต่ก็ถ่ายไม่ออก ยิ่งหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ ไม่แก้ปัญหาการขับถ่ายที่ผิดปกติอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่าที่คิดได้ วันนี้เราจะพามาดูกันว่าอาการท้องผูกเกิดจากอะไร วิธีแก้อาการท้องผูก เช่น อาหารที่ควรทานและควรเลี่ยงกันค่ะ
เมื่อไหร่จึงถือว่ามีอาการท้องผูก
อาการท้องผูกไม่ได้กำหนดว่าขับถ่ายน้อยกว่าเท่าใดจึงจะเรียกว่าท้องผูก แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่าการขับถ่ายเป็นเรื่องยาก บางครั้งต้องนั่งนานถึงครึ่งชั่วโมงเพื่อเบ่งถ่าย ถ่ายไม่สุด เหมือนมีอะไรมาอุดกั้น ถ่ายออกมาน้อย อุจจาระแข็ง รู้สึกอึดอัดแน่นท้อง ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าคุณมีอาการท้องผูกแล้วล่ะค่ะ
สาเหตุของอาการท้องผูก
อาการท้องผูกสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
1. การปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้อง เช่น การไม่รับประทานผักผลไม้ รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกายหรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย กลั้นอุจจาระบ่อย ๆ โดยพบว่า 50% ของผู้ที่มีอาการท้องผูกมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมส่วนตัวเหล่านี้
2. การเบ่งถ่ายอุจจาระผิดวิธี คือ มีการออกแรงเบ่งอุจจาระพร้อมกับขมิบหูรูดทวารหนักไปด้วย ทำให้อุจจาระไม่สามารถจะเคลื่อนตัวออกมาได้ แพทย์พบว่า 30% ของอาการท้องผูกเกิดจากการทํางานไม่ประสานกันของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเบ่งอุจจาระ
3. การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หรือภาวะลำไส้เฉื่อย เกิดจากการที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวน้อยลงทําให้อุจจาระเคลื่อนตัวลงมาช้ากว่าปกติ อาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายเอง หรืออาจเกิดจากการรับประทานยาระบายต่อเนื่องกันนานจนเกิดลำไส้ขี้เกียจก็ได้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุนี้พบได้น้อยมากประมาณ 5-6% เท่านั้น
4. การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้ท้องผูก เช่น ยารักษาภาวะซึมเศร้า ยารักษาโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ยาลดความดันโลหิต ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียมหรืออะลูมิเนียม ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน เป็นต้น
อาการท้องผูกส่งผลเสียอย่างไรบ้าง
หากอาการท้องผูกเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หากมีอาการเรื้อรังและปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลเสียตามมา เช่น เกิดโรคริดสีดวงทวาร เกิดแผลรอบ ๆ ทวารหนักจากการที่อุจจาระแข็งจึงไปครูดหลอดเลือดฉีกขาด ความดันในช่องอกเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ความดันในลูกตาสูงขึ้น ทำให้แรงดันในช่องท้องสูงขึ้นจนเป็นสาเหตุของไส้เลื่อนได้ ทำให้กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ท้องผูกเรื้อรังจนทำให้มีอาการของลำไส้อุดตัน เป็นต้น
วิธีแก้ปัญหาท้องผูก
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- รับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการเคลื่อนไหวภายในลำไส้ใหญ่
- รับประทานอาหารเช้าทุกวัน เพราะอาหารเช้าช่วยให้กระเพาะอาหารขยายตัว และไปกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงาน เกิดเป็นความรู้สึกอยากถ่าย
- รับประทานพรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์ ช่วยสร้างสมดุลที่ดีของลำไส้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องผูก เช่น กล้วยดิบ คาเฟอีน - ชา กาแฟ อาหารหวาน อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด และแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำให้มากพอเพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มถ่ายง่าย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
2. การฝึกขับถ่ายให้เป็นธรรมชาติ
โดยฝึกถ่ายอุจจาระอย่างถูกวิธี คือ ฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นหลักแทนการหายใจด้วยปอด และฝึกเบ่งโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง และการเบ่งต้องสัมพันธ์กับการหายใจ
3. การใช้ยาระบาย
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและฝึกขับถ่ายให้เป็นธรรมชาติแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพิจารณาปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาระบาย การใช้ยาระบายควรใช้ตามแพทย์สั่งและใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะยาระบายมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีฤทธิ์ที่แตกต่างกันและอาจส่งผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ เช่น ภาวะลำไส้เฉื่อย ทำให้ไม่สามารถเบ่งอุจจาระเองได้ตามกลไกของร่างกาย เป็นต้น
“PROFIBERRY” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของโพรไบโอติกส์ บาซิลลัส โคแอคกูแลนส์ (Bacillus coagulans) เชื้อจุลินทรีย์ตัวดีที่ช่วยปรับสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ และพรีไบโอติกส์ ได้แก่ ไซเลี่ยมฮัสก์ กาแลคโตโอลิโกแซคคาไรด์ กีวี่สีทอง ต้นอ่อน ข้าวสาลี และอาร์ติโชค เป็นต้น ซึ่งอาหารของจุลินทรีย์ตัวดี ช่วยให้โพรไบโอติกส์เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง โดยไม่มีส่วนประกอบของยาระบายที่อาจเป็นสาเหตุของอาการที่ไม่พึงประสงค์
“PROFIBERRY” ผลิตจากผักผลไม้และสารอาหารจากธรรมชาติ จึงช่วยสร้างสมดุลของลำไส้และช่วยในการขับถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาท้องผูก อึดอัดท้อง แน่นท้อง นั่งนานเบ่งอุจจาระออกยาก
เอกสารอ้างอิง