หากเรามีอุจจาระตกค้างจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง เป็นอาการที่ทำให้หลายคนอึดอัดแน่นท้องจากความไม่สบายตัว แม้ว่าในตอนแรกอาการท้องผูก หรือภาวะอุจจาระตกค้าง จะไม่ใช่โรคที่อันตรายร้ายแรง แต่ถ้าละเลยปล่อยไว้นาน จะทำให้มีปัญหาตามมา อาจนำไปสู่ภาวะภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพรุนแรงได้ค่ะ
อาการ
“อุจจาระตกค้าง” เกิดจากในแต่ละวันร่างกายขับถ่ายอุจจาระออกไปไม่หมด หากค้างอยู่ตามผนังลำไส้นานเข้า อุจจาระจะสะสมติดแน่น ค้างอยู่บริเวณผนังลำไส้อย่างนั้น ยิ่งนานวันเข้ายิ่งถูกขับออกยาก ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย แถมยังส่งผลต่อร่างกายโดยรวม ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่หงุดหงิด การหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ สมดุลร่างกายโดยรวมเสียไป ใครที่เข้าข่ายอาการเหล่านี้ต้องเร่งหาวิธีแก้ไขโดยด่วนค่ะ
สาเหตุที่ทำให้ “อุจจาระตกค้าง”
อุจจาระตกค้าง ส่วนใหญ่เกิดจากอาการท้องผูก หรือถ่ายไม่สุด ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ไม่ทานผักผลไม้ รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป รับประทานอาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์
- ดื่มน้ำน้อยเกินไป
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย นั่งอยู่กับที่นาน ๆ ทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ
- มีความเครียด ทำให้ท้องผูก
- ใช้ยาระบายหรือสวนอุจจาระบ่อย จนเกิดภาวะลำไส้ขี้เกียจ ลำไส้ไม่ทำงานเอง
- มีนิสัยในการขับถ่ายที่ไม่ดี เช่น ชอบกลั้นอุจจาระ ขับถ่ายไม่เป็นเวลา
- ผลข้างเคียงของยาบำรุงเลือด ยาลดกรด ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคพาร์กินสัน และยาแก้แพ้บางชนิด
- โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน
การพัฒนาไปเป็นโรคร้ายอื่น ๆ
ผู้ที่ร่างกายมีอุจจาระตกค้าง ถ่ายลำบาก ถ่ายไม่สุด หรือท้องผูกเป็นประจำ จะทำให้เกิดการสะสมของเสียและสารพิษในร่างกาย นานวันเข้าก็จะเกิดการอุดตันจนกลายเป็นภาวะ “ลำไส้อุดตัน” ทำให้ทางเดินอาหารและระบบลำไส้เสียสมดุล แบคทีเรียตัวดีลดลงและแบคทีเรียก่อโรคในลำไส้มีจำนวนมากขึ้น ของเสียที่คั่งค้างสามารถดูดซึมกลับทางผนังลำไส้เกิดผลเสียต่อร่างกาย อารมณ์แปรปรวนง่ายเพราะร่างกายเสียสมดุล ขี้หงุดหงิด ร่างกายไม่สดชื่น เครียดหงุดหงิดง่าย ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ คือ มะเร็งลำไส้ตามมา
การป้องกันปัญหาถ่ายไม่ออก ถ่ายไม่สุด
- ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน และไม่กลั้นอุจจาระ
- รับประทานที่มีกากใยให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 กรัม รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง และธัญพืช เมล็ดแมงลัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัดและมีน้ำในตัว เช่น มะละกอสุก ผักใบเขียว เช่น กุยช่าย ผักโขม มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและบำรุงร่างกาย
- รับประทานพรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์เสริมทุกวัน เพื่อสร้างสมดุลลำไส้ที่ดี เช่น โยเกิร์ต มิโซะ กิมจิ หรืออาหารเสริมที่มีปริมาณพรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์ปริมาณสูงครบถ้วน
- ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
- ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ
ใน “PROFIBERRY” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติ ประกอบด้วยโพรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ตัวดี Bacillus coagulans เสริมด้วยพรีไบโอติกส์อาหารของจุลินทรีย์ในหนึ่งเดียว PROFIBERRY ประกอบด้วยฟรุ๊กโตรโอลิโกแซคคาไรด์ กาแล็คโตรโอลิโกแซคคาไรด์ กัวร์กัม อาร์ติโช้ค บร็อคโคลี่ กีวี่สีทอง และผงไซเลี่ยมฮัสก์ มีส่วนช่วยสร้างและปรับสมดุลลำไส้ ลดปัญหาอุจจาระตกค้าง ท้องผูก ถ่ายไม่ออก แน่นท้อง สารสกัดใน “PROFIBERRY” ช่วยดีท็อกส์ลำไส้ ทำให้ร่างกายได้ปรับสมดุล ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ขับสารพิษตกค้างในร่างกาย ล้างลำไส้ได้ในหนึ่งเดียวด้วยวิธีธรรมชาติ ลดปัญหาอุจจาระตกค้าง สุขภาพโดยรวมดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ
เอกสารอ้างอิง